top of page

เสื้อชูชีพแบบพองลมด้วยแก๊ส (Inflatable Life Jacket)

  • vdbsynbiotech
  • 1 วันที่ผ่านมา
  • ยาว 3 นาที

เสื้อชูชีพ-แบบพองลมแก๊ส

การเดินทางทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการตกปลา การเดินเรือ หรือกิจกรรมกีฬาทางน้ำต่าง ๆ ล้วนมีความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดเดาได้ เสื้อชูชีพจึงเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีความสำคัญสูงสุดในการช่วยชีวิตเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน


เสื้อชูชีพแบบพองลมด้วยแก๊ส (Inflatable Life Jacket) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีน้ำหนักเบา สวมใส่สะดวกสบาย และให้ประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม การใช้งานที่ถูกต้องและการบำรุงรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เสื้อชูชีพทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้งานจริง


บทความนี้จะนำเสนอขั้นตอนการใช้งานเสื้อชูชีพแบบพองลมด้วยแก๊สอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การเลือกใช้ การสวมใส่ ไปจนถึงการบำรุงรักษา เพื่อให้ทุกคนมีความรู้และความมั่นใจในการใช้งานอุปกรณ์ความปลอดภัยชิ้นสำคัญนี้




เสื้อชูชีพพองลมด้วยแก๊ส (Life Jacket) คืออะไร แตกต่างจากเสื้อชูชีพแบบอื่นอย่างไร?


เสื้อชูชีพพองลมด้วยแก๊ส (inflatable life jacket) คืออุปกรณ์ช่วยชีวิตส่วนบุคคล (Personal Flotation Device - PFD) ชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบาเมื่อยังไม่ได้ใช้งาน ภายในตัวเสื้อจะมีถุงลม (air bladder) ที่พับเก็บไว้อย่างมิดชิด และจะพองตัวขึ้นด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากหลอดแก๊สขนาดเล็กเมื่อใช้งานแบบดึง หรือระบบอัตโนมัติทำงาน


ความแตกต่างจากเสื้อชูชีพแบบอื่น

เสื้อชูชีพแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่มักเป็นแบบโฟม (inherently buoyant life jackets) ซึ่งมีความหนาและอาจทำให้รู้สึกอึดอัดหรือไม่คล่องตัวในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในขณะที่เสื้อชูชีพแบบพองลมมีข้อได้เปรียบหลายประการ เช่น


  • ความคล่องตัวสูง ขณะยังไม่พองตัว เสื้อจะมีลักษณะคล้ายเสื้อกั๊กบาง ๆ ทำให้ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวก เหมาะสำหรับกิจกรรมที่ต้องการความคล่องตัวสูง เช่น การเล่นเรือใบ ตกปลา หรือแม้แต่การทำงานบนเรือ

  • ความสบายในการสวมใส่ ด้วยขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบา ทำให้ไม่ร้อนและอึดอัดเท่าเสื้อชูชีพแบบโฟม โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้น

  • แรงลอยตัวสูงเมื่อพองตัว  แม้จะมีขนาดเล็กก่อนใช้งาน แต่เมื่อพองตัวเต็มที่แล้ว เสื้อชูชีพชนิดนี้มักให้แรงลอยตัวที่สูงกว่าเสื้อชูชีพแบบโฟมมาตรฐานหลายรุ่น ช่วยให้ผู้สวมใส่ลอยตัวอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและปลอดภัยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการช่วยให้ศีรษะพ้นน้ำ

  • เหมาะสำหรับผู้ใหญ่และผู้ที่มีทักษะการว่ายน้ำ เนื่องจากต้องอาศัยการทำงานของกลไกหรือการสั่งงานของผู้ใช้ (ในรุ่น manual) จึงเหมาะกับผู้ใหญ่ที่เข้าใจวิธีการใช้งานและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่ง


อย่างไรก็ตาม เสื้อชูชีพแบบพองลมก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น ต้องมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่ากลไกการพองตัวและหลอดแก๊ส CO2 อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และโดยทั่วไปไม่แนะนำสำหรับเด็กเล็ก หรือผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นเลยในบางสถานการณ์ เนื่องจากต้องใช้เวลาเล็กน้อยในการพองตัว




ประเภท-เสื้อชูชีพ-พองลม

ประเภทของเสื้อชูชีพพองลมด้วยแก๊ส (Life Jacket)

เสื้อชูชีพแบบพองลมแบ่งตามกลไกการทำงานหลัก ๆ ได้เป็น 2 ประเภท คือ


  1. การพองลมอัตโนมัติ (Automatic Inflation) 

เสื้อชูชีพประเภทนี้ออกแบบมาให้พองตัวโดยอัตโนมัติเมื่อผู้สวมใส่ตกน้ำ กลไกการทำงานอาศัยอุปกรณ์ที่เรียกว่า "เม็ดละลายน้ำ" (water-soluble bobbin) หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงดันน้ำ (hydrostatic inflator) เมื่อเม็ดละลายน้ำสัมผัสกับน้ำเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับได้ว่าจมอยู่ใต้น้ำตามความลึกที่กำหนด มันจะสั่งงานให้เข็มแทงทะลุหลอดแก๊ส CO2 ทำให้แก๊สไหลเข้าสู่ถุงลมจนพองตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


  • ข้อดี พองตัวได้เองแม้ผู้สวมใส่จะหมดสติหรือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทันที เพิ่มโอกาสรอดชีวิตอย่างมากในสถานการณ์ฉุกเฉิน

  • ข้อควรระวัง อาจเกิดการพองตัวโดยไม่ตั้งใจได้หากสัมผัสกับน้ำปริมาณมาก เช่น ฝนตกหนัก หรือคลื่นซัดแรง (แม้ว่ารุ่นใหม่ ๆ จะมีการออกแบบให้ทนทานต่อสภาวะเหล่านี้ได้ดีขึ้น) และจำเป็นต้องเปลี่ยนเม็ดละลายน้ำ (water-soluble bobbin) หลังจากการพองตัวทุกครั้ง หรือตามอายุการใช้งานที่กำหนด



  1. แบบพองลมด้วยการดึง (Manual Inflation) 

เสื้อชูชีพประเภทนี้จะพองตัวก็ต่อเมื่อผู้สวมใส่ดึงสายดึง (pull cord) ที่ติดอยู่กับตัวเสื้อเท่านั้น การดึงสายจะเป็นการสั่งงานให้เข็มแทงหลอดแก๊ส CO2 เพื่อให้แก๊สเติมเข้าถุงลม


  • ข้อดี ผู้ใช้สามารถควบคุมการพองตัวได้เอง ลดโอกาสการพองตัวโดยไม่ตั้งใจ เหมาะสำหรับผู้ที่ทำกิจกรรมใกล้ผิวน้ำ หรือคาดการณ์ว่าจะมีการเปียกน้ำบ่อยครั้งแต่ยังไม่ถึงขั้นตกน้ำ

  • ข้อควรระวัง ผู้สวมใส่ต้องมีสติและสามารถดึงสายกระตุกได้ด้วยตนเองเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อาจหมดสติเมื่อตกน้ำ


ทั้งเสื้อชูชีพแบบอัตโนมัติและแบบดึงด้วยมือ มักจะมี หลอดเป่าปาก (oral inflation tube) เป็นระบบสำรองเสมอ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเป่าลมเพิ่มเข้าไปในถุงลมได้ด้วยตนเอง ในกรณีที่ต้องการแรงลอยตัวเพิ่ม หรือหากระบบหลักทำงานผิดพลาด




ส่วนประกอบ-สำคัญ-ของ-เสื้อชูชีพพองลม

ส่วนประกอบสำคัญของเสื้อชูชีพพองลม

การทำความเข้าใจส่วนประกอบต่าง ๆ ของเสื้อชูชีพพองลมจะช่วยให้คุณใช้งานและบำรุงรักษาได้อย่างถูกต้อง ส่วนประกอบหลักมี ดังนี้


  1. ตัวเสื้อ (Outer Shell) ส่วนใหญ่ทำจากผ้าไนลอนหรือวัสดุทนทานอื่น ๆ ที่กันน้ำได้ระดับหนึ่ง ทำหน้าที่ห่อหุ้มถุงลมและกลไกต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน ออกแบบให้สวมใส่สบายและทนทานต่อการใช้งาน


  2. ถุงลม (Air Bladder/Chamber) เป็นส่วนสำคัญที่กักเก็บอากาศเมื่อพองตัว ทำจากวัสดุที่เหนียว ทนทาน และกันน้ำได้ดีเยี่ยม เช่น ยูรีเทนหรือไนลอนเคลือบ พับเก็บอย่างเป็นระเบียบอยู่ภายในตัวเสื้อ


  3. หลอดแก๊ส CO2 (CO2 Cylinder/Cartridge) กระบอกโลหะขนาดเล็กที่บรรจุแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เหลวภายใต้แรงดันสูง เป็นแหล่งพลังงานหลักในการพองลมให้กับถุงลม ขนาดของหลอดแก๊สจะแตกต่างกันไปตามขนาดและรุ่นของเสื้อชูชีพเพื่อให้มีปริมาณแก๊สเพียงพอต่อการพองตัวเต็มที่


  4. กลไกการพองตัว (Inflation Mechanism/Inflator)

    • สำหรับแบบอัตโนมัติ ประกอบด้วยตัวเรือน เข็มแทง และเม็ดละลายน้ำ (bobbin) หรือเซ็นเซอร์แรงดันน้ำ (hydrostatic unit) ที่จะทำงานเมื่อสัมผัสน้ำหรือแรงดันน้ำตามเงื่อนไข

    • สำหรับแบบดึงด้วยมือ ประกอบด้วยตัวเรือน เข็มแทง และเชื่อมต่อกับสายดึง เมื่อดึงสายจะเป็นการกระตุ้นกลไกให้ทำงาน กลไกนี้มักจะมีตัวบ่งชี้สถานะ (status indicator) เช่น สีเขียวแสดงว่าพร้อมใช้งาน และสีแดงแสดงว่ามีการใช้งานไปแล้วหรือมีปัญหา


  5. สายดึง (Pull Cord/Handle) มีในทั้งรุ่นอัตโนมัติและรุ่นดึงด้วยมือ เป็นสายหรือแถบผ้าที่ผู้ใช้สามารถดึงเพื่อสั่งงานให้เสื้อชูชีพพองลมด้วยตนเอง มักทำเป็นสีสดใส (เช่น แดง เหลือง) และมีสัญลักษณ์บ่งบอกเพื่อให้สังเกตเห็นและใช้งานได้ง่ายในภาวะฉุกเฉิน


  6. หลอดเป่าปาก (Oral Inflation/Deflation Tube) ท่อยางหรือพลาสติกพร้อมวาล์วกันกลับ ใช้สำหรับเป่าลมเข้าไปในถุงลมด้วยปากเพื่อเพิ่มแรงลอยตัว หรือเป็นระบบสำรองหากระบบหลักไม่ทำงาน และยังใช้ในการปล่อยลมออกจากถุงลมเมื่อต้องการเก็บรักษา


  7. สายรัดและตัวล็อก (Straps and Buckles) สายรัดเอว สายรัดอก และในบางรุ่นอาจมีสายรัดระหว่างขา (crotch strap) ช่วยให้เสื้อชูชีพกระชับกับลำตัวผู้สวมใส่ ไม่หลุดเลื่อนขึ้นมาเหนือศีรษะเมื่ออยู่ในน้ำ ตัวล็อกมักเป็นแบบปลดเร็ว (quick-release buckles) เพื่อความสะดวกในการสวมใส่และถอด


  8. อุปกรณ์เสริม (Accessories)

    • นกหวีด (Whistle) สำหรับเป่าส่งสัญญาณเสียงขอความช่วยเหลือ มักติดอยู่กับตัวเสื้อในตำแหน่งที่หยิบใช้ง่าย

    • แถบสะท้อนแสง (Reflective Tape) ติดอยู่บนถุงลมหรือตัวเสื้อ ช่วยให้มองเห็นผู้ประสบภัยได้ง่ายขึ้นในเวลากลางคืนหรือในสภาพแสงน้อยเมื่อมีแสงไฟส่องกระทบ

    • ไฟกะพริบฉุกเฉิน (Emergency Light) บางรุ่นอาจมีไฟกะพริบที่ทำงานอัตโนมัติเมื่อสัมผัสน้ำ หรือสามารถเปิดใช้งานเองได้ เพื่อเพิ่มการมองเห็นในเวลากลางคืน

    • ห่วง D-ring หรือจุดยึดสายนิรภัย (D-ring/Safety Harness Attachment Point) สำหรับเกี่ยวต่อกับสายช่วยชีวิต (safety line) บนเรือ






ขั้นตอนการสวมใส่เสื้อชูชีพพองลมอย่างถูกวิธี

การสวมใส่เสื้อชูชีพพองลมอย่างถูกต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพในการทำงานและความปลอดภัยของผู้ใช้


  1. การตรวจสอบก่อนสวมใส่เสื้อชูชีพ (Pre-Wear Check / Pre-Use Check) 

    การตรวจสอบก่อนใช้งาน คือหัวใจสำคัญของการใช้เสื้อชูชีพพองลม ควรทำทุกครั้งก่อนสวมใส่


    1. ตรวจสอบสภาพภายนอกของตัวเสื้อชูชีพ มองหารอยฉีกขาด รอยเย็บที่หลุดลุ่ย รอยเปื่อย หรือความเสียหายอื่น ๆ บนผ้าตัวเสื้อ สายรัด และตัวล็อก

    2. ตรวจสอบกลไกการพองตัวของเสื้อชูชีพ

      1. ตัวบ่งชี้สถานะ (Status Indicator) ตรวจสอบว่าตัวบ่งชี้เป็นสีเขียว (หรือตามที่คู่มือกำหนด) ซึ่งหมายความว่าเสื้อชูชีพพร้อมใช้งาน หากเป็นสีแดง แสดงว่ามีการใช้งานไปแล้ว หรือมีบางส่วนติดตั้งไม่ถูกต้อง/หมดอายุ และต้องได้รับการแก้ไข/เปลี่ยนอะไหล่ก่อน

      2. กระบอกแก๊ส CO2 ตรวจสอบว่ากระบอกแก๊ส CO2 ติดตั้งอยู่อย่างแน่นหนา ไม่หลวมคลอน และไม่มีร่องรอยการถูกใช้งาน (เช่น รอยเจาะที่หัวหลอด) หรือสนิมที่รุนแรง

      3. เม็ดละลายน้ำ/เซ็นเซอร์ (สำหรับรุ่นอัตโนมัติ) ตรวจสอบวันหมดอายุของเม็ดละลายน้ำหรือเซ็นเซอร์ (ถ้ามีระบุ) และดูว่าอยู่ในสภาพดี ไม่แตกหักหรือชำรุด

    3. ตรวจสอบสายดึง (Pull Cord) ตรวจสอบว่าสายดึงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ไม่พันกัน และสามารถเข้าถึงได้ง่าย

    4. ตรวจสอบหลอดเป่าปาก (Oral Tube) ดูว่าฝาปิดวาล์วอยู่ครบถ้วน และไม่มีสิ่งอุดตัน

    5. ตรวจสอบอุปกรณ์เสริม นกหวีด แถบสะท้อนแสง หรือไฟ (ถ้ามี) อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน


  2. วิธีสวมใส่เสื้อชูชีพพองลมที่ถูกต้อง

    1. สวมเสื้อชูชีพ สวมเสื้อชูชีพพองลมทับเสื้อผ้าชั้นนอกสุด โดยสอดแขนทั้งสองข้างเข้าไปในช่องแขนเหมือนสวมเสื้อกั๊ก หรือคาดรอบเอว/อกตามการออกแบบของรุ่นนั้นๆ

    2. ปิดตัวล็อกด้านหน้า หากมีซิปหรือตัวล็อกด้านหน้า ให้ปิดให้เรียบร้อย

    3. ปรับสายรัดเอว (Waist Strap) ดึงสายรัดเอวให้กระชับพอดีกับลำตัว ควรแน่นพอที่เมื่อยกแขนขึ้นเหนือศีรษะแล้ว เสื้อชูชีพจะไม่เลื่อนขึ้นไปกองอยู่บริเวณคางหรือใบหน้า

    4. ปรับสายรัดอื่นๆ (ถ้ามี) ปรับสายรัดอกหรือสายรัดอื่นๆ ให้กระชับเช่นกัน ไม่ควรหลวมจนเกินไป เพื่อให้เสื้อชูชีพยึดติดกับลำตัวอย่างมั่นคง

    5. สายรัดระหว่างขา (Crotch Strap/Thigh Straps) หากเสื้อชูชีพมีสายรัดระหว่างขา ควรใช้งานเสมอ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้เสื้อชูชีพหลุดหรือเลื่อนขึ้นมาปิดหน้าเมื่ออยู่ในน้ำ

    6. ตรวจสอบตำแหน่งสายดึง ตรวจสอบอีกครั้งว่าสายดึงอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นและเอื้อมถึงได้ง่าย ไม่ถูกซ่อนอยู่ใต้สายรัดอื่น

 วิธี-สวมใส่-เสื้อชูชีพพองลม-ที่ถูกต้อง

วิธีการใช้งานเสื้อชูชีพพองลม (Step-by-Step)

การทำความเข้าใจขั้นตอนการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ จะช่วยให้คุณตอบสนองได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน


  1. การพองลมแบบอัตโนมัติ (เมื่อตกน้ำ - สำหรับ Automatic Inflation Models)

    1. เมื่อผู้สวมใส่ตกจากเรือหรือพลัดตกน้ำ เสื้อชูชีพแบบอัตโนมัติจะเริ่มทำงาน

    2. เม็ดละลายน้ำ (bobbin) หรือเซ็นเซอร์แรงดันน้ำ (hydrostatic inflator) จะทำปฏิกิริยากับน้ำ

    3. กลไกจะปลดปล่อยเข็มแทงให้เจาะหลอดแก๊ส CO2

    4. แก๊ส CO2 จะไหลเข้าสู่ถุงลมอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปจะพองตัวเต็มที่ภายใน 3-5 วินาที

    5. หากเสื้อชูชีพไม่พองตัวโดยอัตโนมัติภายในเวลาอันควร (ประมาณ 5-10 วินาที) ให้ดึงสายดึง (manual override) ทันที

    6. หากยังไม่พองตัวอีก ให้ใช้หลอดเป่าปากเป่าลมเข้าไป


  2. การพองลมด้วยการดึงสายดึง (Manual Inflation)

    1. เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้เสื้อชูชีพ (เช่น เรือกำลังจะล่ม หรือตกน้ำ)

    2. ตั้งสติ มองหาสายดึง (มักเป็นสีแดงหรือเหลืองสด มีป้ายกำกับ)

    3. ใช้มือข้างที่ถนัดจับสายดึงให้มั่น

    4. ดึงสายดึงลงอย่างรวดเร็วและแรง จนสุดระยะของสาย

    5. เสื้อชูชีพจะพองตัวอย่างรวดเร็วภายใน 3-5 วินาที

    6. หากเสื้อชูชีพไม่พองตัว หรือพองตัวไม่เต็มที่ ให้ใช้หลอดเป่าปากเป่าลมเพิ่ม


  3. การพองลมด้วยการเป่าปาก (Oral Inflation)

    เป็นระบบสำรองสำหรับทั้งรุ่นอัตโนมัติและรุ่นดึงด้วยมือ หรือใช้เพื่อเพิ่มความแน่นของถุงลม

    1. ดึงหลอดเป่าปากออกมาจากที่เก็บ

    2. เปิดฝาปิดวาล์ว (ถ้ามี)

    3. เป่าลมเข้าไปในหลอดอย่างต่อเนื่องเหมือนเป่าลูกโป่ง วาล์วกันกลับจะป้องกันไม่ให้ลมไหลย้อนออกมา

    4. เป่าจนรู้สึกว่าเสื้อชูชีพมีความแน่นและมีแรงลอยตัวเพียงพอ

    5. ปิดฝาวาล์วให้แน่น

  4. การปฏิบัติตัวเมื่อเสื้อชูชีพพองตัว

    เมื่อเสื้อชูชีพพองตัวแล้ว สิ่งสำคัญคือการรักษาความสงบและปฏิบัติตัว ดังนี้

    1. จัดท่าทางในน้ำ ปล่อยให้เสื้อชูชีพพยุงตัวคุณ โดยทั่วไปจะช่วยให้ใบหน้าและทางเดินหายใจอยู่เหนือน้ำ พยายามลอยตัวในท่านอนหงายหรือนั่ง เอนศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อช่วยให้หายใจสะดวก

    2. ท่า HELP (Heat Escape Lessening Position) หากอยู่ในน้ำเย็น (อุณหภูมิต่ำกว่า 15-20°C) เพื่อลดการสูญเสียความร้อนของร่างกาย ให้ใช้ท่า H.E.L.P. โดยการยกเข่าขึ้นมาชิดหน้าอก ใช้แขนกอดเข่าไว้ หรือหนีบแขนเข้ากับลำตัว วิธีนี้ช่วยรักษาอุณหภูมิแกนกลางของร่างกาย

    3. การรวมกลุ่ม (Huddle Position) หากมีผู้ประสบภัยมากกว่าหนึ่งคน ให้รวมกลุ่มกันโดยหันหน้าเข้าหากันและเกาะเกี่ยวกันไว้ เพื่อช่วยรักษาความร้อนในร่างกาย เพิ่มกำลังใจ และทำให้หน่วยกู้ภัยมองเห็นได้ง่ายขึ้น

    4. การส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

      1. ใช้สมาธิและมองหาสิ่งที่สามารถเกาะเกี่ยวได้ เพื่อประหยัดพลังงาน

      2. เป่านกหวีดที่ติดมากับเสื้อชูชีพเป็นจังหวะ สัญญาณสากลคือ เป่าสั้น 3 ครั้ง (S.O.S. ในรหัสมอร์สคือ ··· --- ···) หรือเป่ายาว ๆ ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจ

      3. หากเห็นเรือหรือหน่วยกู้ภัยในระยะใกล้ ให้ยกแขนขึ้นสูงแล้วโบกช้า ๆ ขึ้นลง

      4. หากเป็นเวลากลางคืน แถบสะท้อนแสงจะช่วยให้มองเห็นเมื่อมีแสงไฟส่องมา หากมีไฟฉุกเฉิน ให้เปิดใช้งาน

      5. พยายามสงบสติอารมณ์ ความตื่นตระหนกจะทำให้สูญเสียพลังงานและทำให้สถานการณ์แย่ลง


การปฏิบัติตัว-เมื่อ-เสื้อชูชีพพองตัว

การบำรุงรักษา การตรวจสอบ และการติดตั้งชุดอุปกรณ์ใหม่ของเสื้อชูชีพ (Re-arming)

การบำรุงรักษาเสื้อชูชีพพองลมอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเสื้อชูชีพจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การทราบและปฏิบัติตามคำแนะนำการบำรุงรักษาที่ถูกต้องจะช่วยยืดอายุการใช้งานและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว


  1. การตรวจสอบประจำเสื้อชูชีพแบบพองลม

    การตรวจสอบประจำควรทำอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือก่อนการใช้งานแต่ละครั้ง

การตรวจสอบรายเดือน

  1. ตรวจสอบสภาพผ้าเสื้อชูชีพ: ดูรอยฉีกขาด รอยถลอก หรือการสึกหรอของผ้าและตะเข็บ

  2. ตรวจสอบหลอดแก๊ส CO2: ดูน้ำหนักหลอดแก๊ส (ถ้ามีตาชั่งที่แม่นยำ) ตรวจสอบสีของหลอด ไม่มีสนิมหรือรอยกัดกร่อน

  3. ตรวจสอบเม็ดละลายน้ำ: เม็ดไม่แตก ไม่ละลาย และยังแข็งอยู่ (สำหรับแบบอัตโนมัติ)

  4. ทดสอบสายรัดและตัวล็อค: ดึงและรัดเพื่อทดสอบความแข็งแรง

  5. ตรวจสอบหลอดเป่าปาก: เป่าเพื่อทดสอบว่าลมไม่รั่วย้อนกลับ


การตรวจสอบรายปี

  1. ทดสอบการรั่วซึมของถุงลม: พองถุงลมด้วยการเป่าปากและทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ถ้าถุงลมยังแข็งแสดงว่าไม่รั่ว

  2. ทดสอบกลไกการพองตัว: ทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยด้วยความระมัดระวัง

  3. ตรวจสอบความถูกต้องของการติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมด


  1. การเปลี่ยนหลอดแก๊ส CO2 และการติดตั้งชุดอุปกรณ์ใหม่ (Re-arming)

    ต้องทำทุกครั้งหลังจากการพองตัว หรือเมื่อส่วนประกอบหมดอายุ ควรใช้ชุดอุปกรณ์ใหม่ (re-arming kit) ที่ตรงรุ่นกับเสื้อชูชีพของคุณเสมอ


    1. เตรียมพื้นที่: ทำในที่แห้งและสะอาด

    2. ปล่อยลมออกจากถุงลมให้หมด: เปิดฝาวาล์วของหลอดเป่าปาก กดวาล์วด้านใน (มักใช้ส่วนปลายของฝาวาล์ว) เพื่อปล่อยลมออกจนถุงลมแฟบสนิท บีบไล่ลมที่ค้างอยู่ออกให้หมด

    3. ถอดหลอดแก๊ส CO2 ที่ใช้แล้ว: หมุนหลอดแก๊สเก่าทวนเข็มนาฬิกาออกจากกลไกการพองตัว

    4. ถอดเม็ดละลายน้ำ/เซ็นเซอร์เก่า (สำหรับรุ่นอัตโนมัติ): ปฏิบัติตามคู่มือของผู้ผลิต ส่วนใหญ่มักจะต้องปลดคลิปหรือหมุนส่วนประกอบเก่าออก

    5. ติดตั้งเม็ดละลายน้ำ/เซ็นเซอร์ใหม่: ใส่เม็ดละลายน้ำหรือเซ็นเซอร์ใหม่เข้าไปในตำแหน่งที่ถูกต้อง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าติดตั้งถูกทิศทางและเข้าล็อกเรียบร้อย (จะมีตัวบ่งชี้สถานะเปลี่ยนเป็นสีเขียวหากติดตั้งถูกต้อง)

    6. ติดตั้งหลอดแก๊ส CO2 ใหม่: หมุนหลอดแก๊ส CO2 ใหม่ตามเข็มนาฬิกาเข้าไปในกลไกการพองตัวจนแน่น แต่อย่าใช้แรงมากเกินไปจนเกลียวเสียหาย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวบ่งชี้สถานะยังคงเป็นสีเขียว

    7. พับเก็บถุงลม: พับถุงลมกลับเข้าไปในตัวเสื้อตามรอยพับเดิมอย่างระมัดระวัง ดูให้แน่ใจว่าสายดึงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและสามารถเข้าถึงได้ง่าย ปิดตัวเสื้อให้เรียบร้อย

    8. อ่านคู่มือผู้ผลิต: ขั้นตอนอาจแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละรุ่น ควรอ่านและปฏิบัติตามคู่มือที่มาพร้อมกับเสื้อชูชีพและชุด re-arming kit อย่างเคร่งครัด


  2. อายุการใช้งาน (Service Life)

เสื้อชูชีพพองลมไม่มีอายุการใช้งานที่กำหนดตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับการใช้งาน การดูแลรักษา และการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ผู้ผลิตบางรายอาจแนะนำให้เปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 5-10 ปี หรือเมื่อผ่านการใช้งานอย่างหนัก แม้จะยังดูดีอยู่ก็ตาม ส่วนประกอบเช่น เม็ดละลายน้ำและเซ็นเซอร์ไฮโดรสแตติกมักมีอายุการใช้งาน 2-5 ปี และต้องเปลี่ยนเมื่อหมดอายุ หลอดแก๊ส CO2 เองไม่มีวันหมดอายุตราบใดที่ยังไม่ถูกใช้งานและไม่มีสนิมหรือความเสียหาย แต่ควรตรวจสอบเป็นประจำ


ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม

  1. สถานการณ์ที่ไม่ควรใช้เสื้อชูชีพพองลม (หรือควรพิจารณาเป็นพิเศษ)

  2. สำหรับเด็กเล็ก โดยทั่วไปเสื้อชูชีพพองลมมาตรฐานไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี หรือมีน้ำหนักน้อยกว่าที่ผู้ผลิตกำหนด (เช่น น้อยกว่า 30-40 กก.) เนื่องจากอาจมีแรงลอยตัวมากเกินไป หรือเด็กอาจไม่เข้าใจวิธีการใช้งาน ควรเลือกใช้เสื้อชูชีพสำหรับเด็กโดยเฉพาะที่มีขนาดและแรงลอยตัวเหมาะสม

  3. ผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นเลย ในบางสถานการณ์ เสื้อชูชีพแบบโฟมที่ให้การลอยตัวทันทีอาจเหมาะสมกว่า โดยเฉพาะหากผู้ใช้ไม่คุ้นเคยกับการทำงานของเสื้อชูชีพพองลม

  4. กิจกรรมกีฬาทางน้ำที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การเล่นเจ็ตสกี สกีน้ำ หรือเวคบอร์ด เพราะแรงกระแทกจากการตกน้ำด้วยความเร็วสูงอาจทำให้เสื้อชูชีพพองลมเสียหายหรือพองตัวโดยไม่ตั้งใจ ควรใช้เสื้อชูชีพแบบโฟมที่ออกแบบมาสำหรับกิจกรรมนั้นๆ

  5. เมื่อต้องทำงานในที่แคบหรือมีความเสี่ยงที่เสื้อจะเกี่ยวหรือเสียหายได้ง่าย

  6. อย่าสวมใส่ใต้เสื้อผ้าหนา ๆ เพราะจะทำให้เสื้อชูชีพไม่สามารถพองตัวได้อย่างเต็มที่และถูกต้อง

  7. การใช้งานในสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ

  8. น้ำเย็นจัด ประสิทธิภาพของหลอดแก๊ส CO2 อาจลดลงในอุณหภูมิที่ต่ำมาก (ใกล้จุดเยือกแข็ง) ทำให้พองตัวช้าลงหรือได้ปริมาตรน้อยลง ผู้ผลิตบางรายอาจแนะนำให้เติมลมทางปากเล็กน้อย ก่อน การกระตุ้นระบบ CO2 ในสภาพอากาศเย็นจัด หรือเลือกใช้เสื้อชูชีพแบบโฟม

  9. ฝนตกหนักหรือคลื่นลมแรง สำหรับเสื้อชูชีพอัตโนมัติบางรุ่น อาจมีความเสี่ยงที่จะพองตัวโดยไม่ตั้งใจ ควรเลือกรุ่นที่มีการป้องกันที่ดีขึ้น หรือพิจารณาใช้รุ่น manual ในสถานการณ์ดังกล่าว

  10. การเก็บรักษา เก็บในที่แห้ง เย็น และมีอากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง สารเคมี และน้ำมัน เมื่อไม่ได้ใช้งาน ควรแขวนหรือวางราบ ไม่ควรวางของหนักทับ







คำถามที่พบบ่อย (FAQ)


Q1: เสื้อชูชีพพองลมเหมาะกับเด็กหรือไม่?

A1: โดยทั่วไป เสื้อชูชีพพองลมมาตรฐานออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่และวัยรุ่นที่มีน้ำหนักและความสูงตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตกำหนด (มักจะอายุ 16 ปีขึ้นไป หรือน้ำหนักมากกว่า 30-40 กก.) สำหรับเด็กเล็ก ควรใช้เสื้อชูชีพแบบโฟมที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ซึ่งมีขนาด แรงลอยตัว และการรับรองความปลอดภัยที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม มีเสื้อชูชีพพองลมบางรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโต (เช่น สำหรับช่วงน้ำหนัก 20-50 กก.) แต่ต้องตรวจสอบมาตรฐานและการรับรองอย่างละเอียด และผู้ปกครองต้องมั่นใจว่าเด็กเข้าใจวิธีการใช้งานและอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด


Q2: ต้องเปลี่ยนหลอดแก๊ส CO2 บ่อยแค่ไหน?

A2: ต้องเปลี่ยนหลอดแก๊ส CO2 ทุกครั้งหลังจากการพองตัว ไม่ว่าจะเกิดจากการใช้งานจริงหรือการทดสอบ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบหลอดแก๊สเป็นประจำ (ก่อนใช้งานทุกครั้ง และระหว่างการตรวจสอบตามระยะ) หากพบร่องรอยสนิม การกัดกร่อน รอยบุบ หรือน้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ควรเปลี่ยนใหม่ทันที แม้จะยังไม่เคยถูกใช้งานก็ตาม สำหรับเม็ดละลายน้ำ (bobbin) หรือเซ็นเซอร์ไฮโดรสแตติกในรุ่นอัตโนมัติ จะมีวันหมดอายุที่ระบุไว้ (โดยทั่วไป 2-5 ปี) และต้องเปลี่ยนเมื่อถึงกำหนดหรือหลังจากการใช้งาน


Q3: ถ้าเสื้อชูชีพพองลมรั่ว ควรทำอย่างไร?

A3: หากสงสัยว่าเสื้อชูชีพรั่ว (เช่น จากการทดสอบการรั่วซึมแล้วพบว่าลมค่อย ๆ อ่อนลง) ห้ามพยายามซ่อมแซมรอยรั่วขนาดใหญ่ด้วยตัวเอง เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิต ความสมบูรณ์ของถุงลมมีความสำคัญสูงสุด ขั้นแรก ให้ลองเป่าลมทางปากให้แน่นอีกครั้ง และตรวจสอบว่าวาล์วของหลอดเป่าปากปิดสนิทดีหรือไม่ หากยังคงรั่วซึม ควรติดต่อผู้ผลิตหรือศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาตเพื่อทำการตรวจสอบและซ่อมแซม หากไม่สามารถซ่อมแซมได้ หรือค่าซ่อมสูงจนไม่คุ้มค่า การเปลี่ยนเสื้อชูชีพตัวใหม่คือทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด


สรุป

การเลือกใช้ เสื้อชูชีพแบบพองลม หรือ inflatable life jacket เป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางและทำกิจกรรมทางน้ำ ความเข้าใจในวิธีการทำงาน การสวมใส่ที่ถูกต้อง การใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากอุปกรณ์ชิ้นนี้


หัวใจหลักของการใช้เสื้อชูชีพพองลมคือ "การตรวจสอบก่อนใช้งาน (Pre-Use Check)" ทุกครั้ง เพราะความพร้อมของอุปกรณ์ในยามฉุกเฉินคือสิ่งที่ไม่สามารถประนีประนอมได้ การเลือกซื้อเสื้อชูชีพที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และเหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของคุณ ถือเป็นการลงทุนในความปลอดภัยของชีวิตคุณเองและคนที่คุณรัก


เมื่อมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ เสื้อชูชีพ และ Life Jacket ประเภทนี้แล้ว ท่านจะสามารถทำกิจกรรมทางน้ำต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจและไร้กังวลมากยิ่งขึ้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเสื้อชูชีพพองลมด้วยแก๊ส สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line:@synbiotech หรือโทร.088-787-9982



อ้างอิง


Comments


bottom of page