top of page

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ...เรื่องใกล้ตัวที่อันตรายกว่าที่คิด!ใช้เครื่อง CPAP คู่กับฟิลเตอร์กรองเชื้อ HME – หายใจสะอาด หลับสบาย ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ปัญหาการนอนหลับดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่หลายคนเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการนอนไม่พอ นอนกรน หรือตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกไม่สดชื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว หนึ่งในปัญหาการนอนหลับที่มักถูกมองข้าม แต่แฝงไว้ด้วยอันตรายที่ร้ายแรงกว่าที่คิด คือ "ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ" (Sleep Apnea) หลายท่านอาจคิดว่าเป็นเพียงอาการที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและไม่น่ากังวล แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมาก และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

ทำความรู้จัก "ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ" (Sleep Apnea)

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือ Obstructive Sleep Apnea (OSA) เป็นภาวะที่ทางเดินหายใจส่วนบนของเราเกิดการตีบแคบหรือยุบตัวลงขณะนอนหลับ ทำให้ลมหายใจไม่สามารถผ่านเข้าออกได้อย่างสะดวก หรืออาจถึงขั้นปิดสนิทไปชั่วขณะ เมื่อเกิดภาวะนี้ ร่างกายจะได้รับออกซิเจนน้อยลง สมองจึงจำเป็นต้องปลุกให้เราตื่นขึ้นมาเพื่อหายใจอีกครั้ง ซึ่งกระบวนการนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ตลอดทั้งคืนโดยที่เราไม่รู้ตัว ส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับของเราลดลงอย่างมาก แม้จะนอนหลายชั่วโมงแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ การตื่นตัวของสมองบ่อยครั้งนี้เองที่ขัดขวางวงจรการนอนหลับตามธรรมชาติ ทำให้เราไม่สามารถเข้าสู่ระยะหลับลึกซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่


ประเภทของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

ภาวะหยุดหายใจ (Sleep Apnea) ขณะหลับสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ดังนี้

  1. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea - OSA)

    เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณลำคอและทางเดินหายใจส่วนบนหย่อนตัวมากเกินไปขณะหลับ ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบหรือถูกปิดกั้น


  2. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดสมองส่วนกลาง (Central Sleep Apnea - CSA) 

    ประเภทนี้พบได้น้อยกว่า เกิดจากสมองส่วนกลางไม่สามารถส่งสัญญาณสั่งการไปยังกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจได้อย่างถูกต้อง ทำให้การหายใจหยุดไปชั่วขณะ


  3. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดผสม (Mixed Sleep Apnea หรือ Complex Sleep Apnea Syndrome)

    เป็นการผสมผสานระหว่างภาวะ OSA และ CSA คือมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจร่วมกับความผิดปกติของสัญญาณจากสมอง

ในบรรดาประเภทเหล่านี้ OSA พบได้บ่อยที่สุด โดยมีผู้ป่วยมากถึง 80% ของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับทั้งหมด

สัญญาณเตือนและอาการที่พบบ่อยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมักมีอาการดังต่อไปนี้:


  • นอนกรนเสียงดัง

  • หยุดหายใจขณะนอนหลับ (สังเกตโดยคนที่นอนด้วย)

  • ตื่นมากลางดึกด้วยความรู้สึกสำลักหรือหายใจไม่ออก

  • ปวดศีรษะตอนเช้า

  • ปากแห้ง คอแห้งเมื่อตื่นนอน

  • ง่วงนอนมากในเวลากลางวัน แม้จะนอนเต็มที่แล้ว

  • มีปัญหาด้านสมาธิและความจำ

  • หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน

  • ปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน

  • ความดันโลหิตสูง


ความหลากหลายของอาการเหล่านี้ ทั้งที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนซึ่งผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัว และอาการในเวลากลางวันซึ่งอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผลจากความเหนื่อยล้าทั่วไป ทำให้การวินิจฉัยด้วยตนเองเป็นเรื่องยาก การรับฟังข้อมูลจากคนใกล้ชิดที่สังเกตเห็นความผิดปกติขณะนอนหลับจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง


ความเสี่ยงหากไม่รักษา

หากปล่อยให้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับดำเนินไปโดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ดังนี้

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: เพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

  • โรคเบาหวาน: เพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้ออินซูลินและโรคเบาหวานชนิดที่ 2

  • อุบัติเหตุ: อาการง่วงนอนในเวลากลางวันเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนและในที่ทำงาน

  • ปัญหาด้านจิตใจ: เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและโรควิตกกังวล

  • ปัญหาด้านความจำและสมาธิ: ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียน




การวินิจฉัยและการตรวจหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ


หากสงสัยว่าเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรทำอย่างไร? ปรึกษาแพทย์ด้านไหน?

หากคุณมีอาการที่น่าสงสัยดังที่กล่าวมาข้างต้น หรือคนใกล้ชิดสังเกตเห็นว่าคุณมีอาการนอนกรนเสียงดังร่วมกับมีช่วงหยุดหายใจขณะหลับ  ไม่ควรนิ่งนอนใจหรือปล่อยทิ้งไว้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจประเมิน แพทย์ที่ให้คำปรึกษาและวินิจฉัยภาวะนี้โดยตรงคือ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ (Sleep Specialist)  ซึ่งอาจเป็นแพทย์เฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ เช่น  

 

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบการหายใจ (หมอปอด)

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท (อายุรแพทย์ระบบประสาท)    


แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น และประเมินโครงสร้างทางเดินหายใจส่วนบน เพื่อพิจารณาความจำเป็นในการส่งตรวจเพิ่มเติม การเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับบางท่าน แต่ปัจจุบันมีโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์หลายแห่งที่มีคลินิกเฉพาะทางด้านการนอนหลับ การเริ่มต้นจากการค้นหาข้อมูล "ศูนย์ตรวจการนอนหลับ" หรือ "คลินิกรักษาอาการนอนกรน" ใกล้บ้าน ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเข้าถึงการรักษา



sleep-test-ตรวจการนอนหลับ
รูปภาพจาก https://aeroflowsleep.com/

การตรวจ Sleep test ตรวจที่ไหนและต้องเตรียมตัวอย่างไร?

การตรวจ Sleep Test หรือ Polysomnography เป็นการตรวจวินิจฉัยมาตรฐานสำหรับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยทั่วไปจะทำการตรวจในห้องปฏิบัติการการนอนหลับ (Sleep Lab) ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกเฉพาะทาง


การเตรียมตัวก่อนตรวจ:

  • งดคาเฟอีนและแอลกอฮอล์อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงก่อนการตรวจ

  • นำยาประจำตัวไปด้วย และแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทาน

  • เตรียมชุดนอนที่สบาย

  • เตรียมของใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน

  • อาบน้ำและสระผมให้เรียบร้อยก่อนไปตรวจ


ขั้นตอนการตรวจ:

การตรวจ Sleep Test จะเริ่มในช่วงเย็นและใช้เวลาตลอดทั้งคืน โดยเจ้าหน้าที่จะติดอุปกรณ์ตรวจวัดต่าง ๆ เช่น คลื่นสมอง คลื่นหัวใจ การเคลื่อนไหวของหน้าอกและท้อง ระดับออกซิเจนในเลือด และกล้องบันทึกการนอน เพื่อติดตามและวิเคราะห์การนอนหลับ


Home Sleep Test: ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจที่บ้าน (Home Sleep Apnea Test) ซึ่งสะดวกกว่าแต่อาจให้ข้อมูลไม่ละเอียดเท่าการตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงและไม่มีโรคประจำตัวที่ซับซ้อน

แนวทางการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

 การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสาเหตุ แนวทางการรักษามีดังนี้


  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: ลดน้ำหนัก งดสูบบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ และนอนตะแคงแทนการนอนหงาย

  • เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure): การรักษามาตรฐานสำหรับภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับปานกลางถึงรุนแรง

  • อุปกรณ์ดึงขากรรไกรล่าง (Mandibular Advancement Devices): เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงหรือไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ได้

  • การผ่าตัด: เช่น การผ่าตัดเพดานอ่อน การผ่าตัดโคนลิ้น หรือการแก้ไขโครงสร้างจมูกที่ผิดปกติ

  • การกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้น (Hypoglossal Nerve Stimulation): เทคโนโลยีใหม่สำหรับผู้ที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรงและไม่สามารถใช้ CPAP ได้


เปรียบเทียบทางเลือกการรักษาต่างๆ

เพื่อให้เห็นภาพรวมของแนวทางการรักษาที่หลากหลาย การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีจะช่วยให้คุณเข้าใจและสามารถพูดคุยกับแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดได้


วิธีการรักษา

เหมาะสำหรับ

ข้อดี

ข้อเสีย/ข้อควรระวัง

ประสิทธิภาพโดยประมาณ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ผู้มีอาการเล็กน้อย, หรือใช้ร่วมกับการรักษาอื่น

ทำได้ด้วยตนเอง, ไม่มีค่าใช้จ่ายสูง, ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม

อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล, ต้องมีความมุ่งมั่นและวินัยสูง, อาจไม่เพียงพอสำหรับผู้มีอาการรุนแรง

แปรผันตามบุคคลและการปฏิบัติตัว

เครื่อง CPAP

ผู้มีภาวะ OSA ระดับปานกลางถึงรุนแรง

ประสิทธิภาพสูงในการลดการหยุดหายใจและอาการกรน , ลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน

อาจต้องใช้เวลาปรับตัว, อาจรู้สึกอึดอัดจากหน้ากาก, ต้องทำความสะอาดอุปกรณ์สม่ำเสมอ, มีค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องและอุปกรณ์

สูงมาก (หากใช้อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ)

อุปกรณ์ในช่องปาก (Oral Appliance)

ผู้มีภาวะ OSA ระดับน้อยถึงปานกลาง, ผู้ที่ไม่ทนต่อ CPAP

พกพาสะดวก, ใช้งานง่ายกว่า CPAP สำหรับบางคน

อาจไม่ได้ผลในผู้มีอาการรุนแรง, อาจทำให้ปวดกรามหรือมีการสบฟันเปลี่ยน, ต้องทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ปานกลาง

การผ่าตัด

ผู้มีปัญหาโครงสร้างทางเดินหายใจที่ชัดเจน, การรักษาอื่นไม่ได้ผล

อาจเป็นการรักษาที่ถาวรในบางราย

มีความเสี่ยงจากการผ่าตัดและดมยาสลบ, อาจมีอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัด, ผลการรักษาไม่แน่นอนเสมอไป, ค่าใช้จ่ายสูง

แปรผันตามชนิดการผ่าตัดและลักษณะผู้ป่วย

ตารางนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบความเข้าใจ การตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาควรทำร่วมกันระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หลังจากได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดแล้ว ซึ่งเครื่อง CPAP มักถูกพิจารณาเป็น "มาตรฐานทอง (Gold Standard)"  ในการรักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง



เครื่อง CPAP: ผู้ช่วยสำคัญในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับอย่างมีประสิทธิภาพ

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า เครื่อง CPAP ถือเป็นวิธีการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่มีประสิทธิภาพสูงและได้รับการยอมรับในระดับสากล เรามาทำความรู้จักกับผู้ช่วยคนสำคัญนี้ให้มากขึ้น


ทำไมแพทย์จึงแนะนำให้ใช้เครื่อง CPAP และหลักการทำงานเป็นอย่างไร?

แพทย์มักแนะนำเครื่อง CPAP สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) ในระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยเครื่องจะช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สม่ำเสมอตลอดคืน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ


เครื่อง CPAP ทำงานโดยการสร้างแรงดันอากาศบวกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะถูกส่งผ่านท่อและหน้ากากไปยังทางเดินหายใจของผู้ป่วย แรงดันนี้จะช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดกว้าง ป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่ออ่อนและลิ้นไก่ตกลงไปอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ


หลักการ-ทำงาน-ของ-เครื่อง-CPAP

รู้จักอุปกรณ์เสริมของ CPAP ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา

เครื่อง CPAP ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ ที่ทำงานร่วมกัน  ได้แก่


  • ตัวเครื่องสร้างแรงดันอากาศ (CPAP Device): เป็นหัวใจหลักในการผลิตและควบคุมแรงดันลม

  • หน้ากาก (CPAP Mask): เป็นส่วนที่สัมผัสกับใบหน้าผู้ใช้เพื่อนำส่งแรงดันอากาศ มีหลายรูปแบบ เช่น หน้ากากครอบจมูก (Nasal Mask), หน้ากากครอบทั้งจมูกและปาก (Full Face Mask), หรือหน้ากากแบบสอดเข้าช่องจมูก (Nasal Pillow Mask)

  • สายรัดศีรษะ (Headgear): ใช้สำหรับยึดหน้ากากให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและกระชับพอดี

  • ท่ออากาศ (Air Tubing): เป็นท่อที่นำส่งแรงดันอากาศจากตัวเครื่องไปยังหน้ากาก


นอกจากส่วนประกอบหลักเหล่านี้แล้ว ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการรักษา ได้แก่:

  • เครื่องทำความชื้น (Humidifier): เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอากาศที่ส่งผ่านเครื่อง CPAP เพื่อลดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น จมูกแห้ง คอแห้ง หรืออาการคัดจมูกที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เครื่อง    

  • ฟิลเตอร์กรองอากาศ/เชื้อโรค: โดยทั่วไปเครื่อง CPAP จะมีแผ่นกรองฝุ่นละอองขนาดใหญ่อยู่แล้ว  แต่ในปัจจุบันมีนวัตกรรม ฟิลเตอร์กรองเชื้อ HME (Heat and Moisture Exchanger) ที่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นคล้าย Humidifier แต่ยังสามารถกรองเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ในตัวเดียว ซึ่งเป็นการยกระดับการใช้งาน CPAP ให้สะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น ถือเป็นอุปกรณ์เสริมสำคัญที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก   

  • สายรัดคาง (Chin Strap): อาจจำเป็นสำหรับผู้ที่ใช้หน้ากากครอบจมูกแล้วมีแนวโน้มอ้าปากขณะหลับ เพื่อช่วยให้ปากปิดสนิทและลมไม่รั่วออกทางปาก   

     

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง เพื่อประสบการณ์การใช้ CPAP ที่ดีที่สุด และฟิลเตอร์ HME ก็เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการด้านความสะอาดและความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว





ปัญหาที่เจอบ่อยเมื่อเริ่มใช้ CPAP ครั้งแรก

การเริ่มต้นใช้เครื่อง CPAP อาจมีความท้าทายสำหรับผู้ป่วยหลายคน ปัญหาที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข มีดังนี้

  • ความรู้สึกอึดอัดเมื่อสวมหน้ากากวิธีแก้ไข: เริ่มต้นด้วยการสวมหน้ากากในช่วงกลางวันขณะตื่น เพื่อให้ร่างกายคุ้นเคย จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มเวลาการใช้งาน และเลือกหน้ากากที่มีขนาดเหมาะสมกับใบหน้า

  • ความรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่อมีแรงดันอากาศวิธีแก้ไข: ใช้คุณสมบัติ Ramp Time ของเครื่อง ซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มแรงดันจากต่ำไปหาระดับที่แพทย์กำหนด ช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ง่ายขึ้น

  • อาการคอแห้ง ปากแห้ง หรือจมูกแห้งวิธีแก้ไข: ใช้น้ำเกลือพ่นจมูกก่อนใช้เครื่องเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น  ใช้เครื่อง CPAP ที่มีระบบทำความชื้น (Humidifier) หรือ พิจารณาใช้ฟิลเตอร์ HME ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้เช่นกัน  หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

  • หน้ากากรั่ววิธีแก้ไข: ปรับสายรัดให้พอดี ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป และตรวจสอบว่าหน้ากากมีขนาดเหมาะสมกับใบหน้า

  • เสียงรบกวนจากเครื่องวิธีแก้ไข: วางเครื่องบนพื้นผิวที่มั่นคง ห่างจากหูเล็กน้อย และตรวจสอบว่าท่อส่งอากาศไม่มีการพับงอ

  • การเกิดแผลกดทับบนใบหน้าวิธีแก้ไข: ใช้แผ่นรองจมูกหรือเปลี่ยนไปใช้หน้ากากที่มีความนุ่มมากขึ้น


คำแนะนำ: การปรับตัวกับเครื่อง CPAP อาจใช้เวลาตั้งแต่สองสัปดาห์ถึงสามเดือน ความอดทนเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

การดูแลรักษา-เครื่อง-CPAP


การดูแลรักษาเครื่อง CPAP: ความสำคัญและความถี่ในการทำความสะอาดอุปกรณ์

การดูแลรักษาเครื่อง CPAP อย่างถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อและรักษาประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องอีกด้วย

  • ตัวเครื่อง CPAP ความถี่: ทำความสะอาดภายนอกเมื่อสังเกตเห็นฝุ่นหรือสิ่งสกปรก    วิธีการ: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำบิดหมาดเช็ดทำความสะอาดภายนอกตัวเครื่อง  ควรถอดปลั๊กไฟออกก่อนทำความสะอาดทุกครั้ง และระมัดระวังไม่ให้น้ำหรือของเหลวเข้าไปในตัวเครื่อง

       

  • ท่ออากาศ (CPAP Tubing) ความถี่: อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง  (บางแหล่งแนะนำอย่างน้อยเดือนละครั้ง )   วิธีการ: ถอดท่อออกจากตัวเครื่องและหน้ากาก ล้างทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกด้วยน้ำอุ่นผสมสบู่อ่อน ๆ หรือน้ำยาล้างจานเจือจาง ล้างน้ำเปล่าให้สะอาด สะบัดน้ำออก แล้วแขวนตากในที่ร่มจนแห้งสนิท ห้ามตากแดดโดยตรง   


  • หน้ากาก (Mask) และสายรัดศีรษะ (Headgear) ความถี่: ควรทำความสะอาดหน้ากากทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ส่วนสายรัดศีรษะทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง    วิธีการ: ถอดชิ้นส่วนของหน้ากาก (เช่น ซิลิโคนเบาะรอง) ออกมาล้างด้วยน้ำอุ่นผสมสบู่อ่อนๆ ล้างน้ำเปล่าให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้งในที่ร่ม  สายรัดศีรษะสามารถซักด้วยมือด้วยสบู่อ่อนๆ แล้วตากให้แห้ง  


  • แผ่นกรองอากาศ (Air Filter - ที่มากับตัวเครื่อง) ความถี่: ตรวจสอบทุก ๆ 1 เดือน หากมีฝุ่นเกาะมากให้นำมาเคาะฝุ่นออก หรือล้างทำความสะอาด (ถ้าเป็นชนิดที่ล้างได้) และควรเปลี่ยนแผ่นกรองใหม่ทุก ๆ  1-2 เดือน หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต   

  • อุปกรณ์ทำความชื้น (Humidifier Water Chamber/Tube) ความถี่: ควรล้างทำความสะอาดทุกวันที่มีการใช้งาน และเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวัน    วิธีการ: เทน้ำเก่าทิ้ง ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นผสมสบู่อ่อน ๆ หรือน้ำยาล้างจานเจือจาง ล้างน้ำเปล่าให้สะอาด ผึ่งให้แห้งในที่ร่มก่อนนำมาใช้งานครั้งต่อไป  ควรใช้น้ำกลั่นหรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วเพื่อลดการเกิดคราบตะกรัน

คำเตือน: ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ คลอรีน หรือสารเคมีที่รุนแรงในการทำความสะอาดอุปกรณ์ CPAP เนื่องจากอาจทำให้วัสดุเสื่อมสภาพและเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

การใส่ใจดูแลความสะอาดของอุปกรณ์ CPAP อย่างสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย การตระหนักถึงความสำคัญของสุขอนามัยนี้ ยังเป็นการปูทางไปสู่ความเข้าใจในประโยชน์ของอุปกรณ์เสริมอย่าง ฟิลเตอร์กรองเชื้อ HME ที่ช่วยเพิ่มอีกชั้นของการป้องกันสิ่งปนเปื้อนเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ



Bacterial filter HME for CPAP

Bacterial Filter HME (Heat and Moisture Exchanger) หรือตัวกรองแบคทีเรียพร้อมระบบแลกเปลี่ยนความร้อนและความชื้น เป็นอุปกรณ์เสริมสำคัญสำหรับเครื่อง CPAP ที่ทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน: กรองเชื้อแบคทีเรียและรักษาระดับความชื้นในระบบทางเดินหายใจ


ตัวกรอง HME มีลักษณะเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ติดตั้งระหว่างหน้ากาก CPAP และท่อส่งอากาศ ภายในประกอบด้วยวัสดุพิเศษที่สามารถกรองเชื้อแบคทีเรียและไวรัสขนาดเล็ก รวมถึงดักจับละอองน้ำในลมหายใจออกเพื่อนำกลับมาให้ความชื้นกับลมหายใจเข้า


Bacterial-filter-HME-for-CPAP

หลักการทำงานของตัวกรองแบคทีเรีย HME สำหรับ CPAP

ตัวกรองแบคทีเรีย HME ทำงานด้วยหลักการทางกายภาพที่ซับซ้อนแต่มีประสิทธิภาพสูง

  • การกรองเชื้อโรค ภายในตัวกรองมีแผ่นกรองไมโครไฟเบอร์ที่มีรูพรุนขนาดเล็กมาก (0.3-0.1 ไมครอน) ซึ่งสามารถดักจับเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และอนุภาคขนาดเล็กอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงถึง 99.97% ทำให้อากาศที่ผ่านเข้าสู่ทางเดินหายใจมีความสะอาดปราศจากเชื้อโรค


  • การแลกเปลี่ยนความร้อนและความชื้น  วัสดุพิเศษภายในตัวกรองจะดักจับความชื้นและความร้อนจากลมหายใจออก เก็บสะสมไว้ และคืนกลับสู่ลมหายใจเข้าในรอบถัดไป กระบวนการนี้เรียกว่า "Passive Humidification" หรือการเพิ่มความชื้นแบบไม่ใช้พลังงาน ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในทางเดินหายใจโดยไม่ต้องใช้น้ำหรือเครื่องทำความชื้นแบบดั้งเดิม


ข้อมูลเชิงเทคนิค: ตัวกรอง HME คุณภาพสูงสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 0.1-0.3 ไมครอน ในขณะที่ขนาดของแบคทีเรียทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 0.5-5 ไมครอน และไวรัสมีขนาดประมาณ 0.02-0.3 ไมครอน


หลักการ-ทำงาน-ของ-ตัวกรอง-แบคทีเรีย-HME-สำหรับ-CPAP

ประโยชน์ของการใช้ตัวกรองแบคทีเรีย HME สำหรับ CPAP

การใช้ตัวกรองแบคทีเรีย HME กับเครื่อง CPAP มีประโยชน์หลายประการ ทั้งในแง่ของสุขภาพและความสะดวกในการใช้งาน


  • ป้องกันการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเดินหายใจจากแบคทีเรียและไวรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคทางเดินหายใจ หรือสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง


  • รักษาความชุ่มชื้น ช่วยลดอาการคอแห้ง ปากแห้ง หรือจมูกแห้ง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ใช้เครื่อง CPAP


  • ป้องกันอุปกรณ์ CPAP ช่วยป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกเข้าสู่ท่อและเครื่อง CPAP ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์


  • ลดการก่อตัวของเชื้อรา

    ป้องกันการเกิดเชื้อราในท่อและอุปกรณ์ CPAP โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่ชื้น


  • ใช้งานง่าย

    ติดตั้งง่าย เพียงต่อระหว่างหน้ากากและท่อส่งอากาศ ไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติม


  • ประหยัดค่าใช้จ่าย

    แม้จะต้องเปลี่ยนตัวกรองเป็นประจำ แต่ในระยะยาวอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจและการซ่อมบำรุงเครื่อง CPAP


คำแนะนำในการใช้งาน: ตัวกรอง HME ควรได้รับการเปลี่ยนตามคำแนะนำของผู้ผลิต โดยทั่วไปคือทุก 24-48 ชั่วโมงสำหรับแบบใช้ครั้งเดียว และทุก 1-2 สัปดาห์สำหรับแบบใช้ซ้ำ การใช้ตัวกรองเกินระยะเวลาที่กำหนดอาจทำให้ประสิทธิภาพการกรองลดลงและเสี่ยงต่อการสะสมของเชื้อโรค

หลับสบาย ปลอดภัย หายใจสะดวกเต็มปอด ด้วย CPAP คู่ฟิลเตอร์ HME เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตมากกว่าที่เราคิด การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงต่าง ๆ ได้มากมาย เครื่อง CPAP ถือเป็นเครื่องมือสำคัญและมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาภาวะนี้ ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาหายใจได้อย่างสะดวกและนอนหลับได้ดีขึ้น


การใช้ ฟิลเตอร์กรองเชื้อ HME (Bacterial Filter HME for CPAP) ร่วมกับเครื่อง CPAP ถือเป็นการ "ยกระดับ" การรักษาไปอีกขั้น เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดโล่ง ลดอาการกรน และเพิ่มความชุ่มชื้น ลดผลข้างเคียงจากอากาศแห้ง แต่ยังเพิ่มเกราะป้องกันสำคัญด้วยการกรองเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ทำให้อากาศที่หายใจเข้าไปนั้นสะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น นับเป็นการดูแลสุขภาพการนอนหลับแบบองค์รวมอย่างแท้จริง


ยกระดับการใช้เครื่อง CPAP ของคุณ


ให้สะอาด ปลอดภัย และสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย ฟิลเตอร์กรองเชื้อ HME สำหรับ CPAP (bacterial filter HME for CPAP)



ติดต่อ ซิน ไบโอเทค แคร์ เพื่อสอบถาม หรือสั่งซื้อเครื่อง CPAP และตัวกรองแบคทีเรีย HME สำหรับ CPAP ได้ที่:

โทร: 088-787-8892 Line: @synbiotech



อ้างอิง:




Comments


bottom of page